Wednesday, June 3, 2009

รถเมล์ฉาวชะงักซํ้าอีกครม.ตีกลับ

ส่งสภาพัฒน์ชำแหละ ยืดเวลาต่ออีก"1เดือน"พรก.กู้4แสนล้านฉลุยศาล รธน.มติเอกฉันท์

ยื้อไปอีก 1 เดือน ครม.เตะรถเมล์ฉาวให้สภาพัฒน์ชำแหละ-เทียบราคาเช่ากับซื้อเป็นอย่างไร “ชวรัตน์” ยังยิ้มได้ไม่เสียหน้า รอบคอบเป็นเรื่องดี “โสภณ” เยาะยิ่งนานวันคนกรุงยิ่งทรมานกันต่อไป ยอมรับเตรียมข้อมูลไม่พร้อม เทียบราคาเช่า-ซื้อหว่านล้อมครม. ลั่นไม่ยอมถูกมองไม่โปร่งใส ครม.รุมกินโต๊ะยำเละรถเมล์ฉาว นายกฯเป่านกหวีดให้รมต.จวกแหก “ประจักษ์” สวดอย่าดีแต่ค้านให้บอกวิธีแก้ไขด้วย 40 ส.ว.บี้รัฐบาลขยายเวลาตรวจสอบไป 3 เดือน ลั่นไม่ยอมให้ผ่าน ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ให้กู้ 4 แสนล้านกู้วิกฤติเศรษฐกิจ “กรณ์” ดี๊ด๊ษได้เงินอุดงบ “คำนูณ” ค้านหัวชนฝาประกาศขวางแหลก ลั่นไม่ลงมติให้ผ่านแน่นอน “เพื่อไทย” วางแผนติดตามรัฐบาลจ้องถลุงเงินกู้ นายกฯนำรมช.เกษตรฯคนใหม่ถวายสัตย์ “กอร์ปศักดิ์” ชงจ้างต่างชาติบริหารรสก. ครม.มีมติตั้ง “สถิต” นั่งปลัดคลัง เพิร์คชี้ระบบราชการไทยดีที่ 3 ในเอเชีย

ในหลวงทรงเน้นทำหน้าที่ให้ดี

เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. ที่พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เวลา 17.58 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชวโรกาสให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นำนายศุภชัย โพธิ์สุ รมช.เกษตรและสหกรณ์ เข้าเฝ้าฯเพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนรับหน้าที่ ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราโชวาทตอนหนึ่งว่า กระทรวงเกษตรฯเป็นกระทรวงสำคัญ ขอให้ทำหน้าที่ให้เรียบร้อย เพื่อบ้านเมือง

ทั้งนี้ ก่อนที่นายกฯจะนำนายศุภชัยเดินทางไปเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ ในเวลา 13.35 น. ทั้ง 2 คน ได้ลงมาให้บรรดาช่างภาพสื่อมวลชนบันทึกภาพในชุดปกติขาวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสที่หน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยเฉพาะนายศุภชัยนั้นมีสีหน้าที่มีความสุข จากนั้น เวลา 16.00 น. นายกฯ พร้อมด้วยนายศุภชัย นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกฯ ขึ้นเครื่องบินที่ ขส.ทบ. เดินทางเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณตนในการเข้ารับหน้าที่

ศาล รธน.ชี้ชะตา พ.ร.ก.กู้เงิน

ที่ศาลรัฐธรรมนูญ เวลา 09.30 น. คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้พิจารณาลงมติและอ่านคำวินิจฉัยส่วนตัว กรณีนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่งความเห็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจ ฉัยตาม ม.185 กรณีพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ม.184 วรรค 1, 2 หรือไม่ ทั้งนี้ ตัวแทนฝ่ายผู้ร้องที่เข้ารับฟังคำวินิจฉัย คือ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย และนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย โดยไม่มีตัวแทนจากฝ่ายรัฐบาลมาร่วมฟัง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย มี 2 ประเด็น คือ 1.พ.ร.ก.ดังกล่าวตราขึ้นเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศตามรัฐธรรมนูญ ม.184 วรรค 1 หรือไม่ ซึ่งศาลวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเป็นที่ทราบว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่เกิดปัญหาขึ้นส่งผลกระทบต่อ ประเทศไทย และยังมีปัญหาการเมืองภายในประเทศ เมื่อพิจารณาสาระสำคัญของ พ.ร.ก. ประกอบเหตุผลในการตรา พ.ร.ก.ดังกล่าว เห็นได้ว่าเพื่อแก้ไขวิกฤติการณ์เศรษฐกิจของประเทศมิให้ตกต่ำไปมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน อันเป็นการทำหน้าที่พื้นฐานทางเศรษฐกิจของรัฐ จึงเป็นการ กระทำที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ในอันที่จะ รักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ ตามรัฐธรรมนูญ ม.184 วรรค 1 แล้ว

มติเอกฉันท์ติดดาบรัฐบาล

ประเด็นที่ 2 คือ พ.ร.ก.ดังกล่าวตราขึ้นเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ตามรัฐธรรมนูญ ม.184 วรรค 2 หรือไม่ ศาลวินิจฉัยว่า เมื่อพิจารณาถึงสภาพปัญหาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศในขณะนี้ แม้ว่ารัฐบาลจะมีมาตรการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ แต่ภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจของประเทศยังคงชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง จึงถือได้ว่ากรณีที่มีความฉุกเฉินจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้เกิดขึ้นแล้ว

ดังนั้น เมื่อพิจารณาความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ดังกล่าว ประกอบสาระสำคัญและกรอบการดำเนินการตาม พ.ร.ก.แล้ว ยังไม่มีมูลกรณีให้เห็นว่า ครม.ได้ตรา พ.ร.ก.ขึ้นมาโดยไม่สุจริต หรือใช้ดุลพินิจบิดเบือนหลักการ ของรัฐธรรมนูญ โดยมีมติเอกฉันท์ จึงวินิจฉัยว่าพ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 ตราขึ้นเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ ตามรัฐธรรมนูญ ม.184 วรรค 1 และเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ตามรัฐธรรมนูญ ม.184 วรรค 2

“กรณ์” ดี๊ด๊าได้กู้สนองนโยบาย

นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะทำให้รัฐบาลเดินหน้าแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจต่อไปได้ คาดว่าจะมีการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้านบาท ในวันที่ 15 มิ.ย. นี้ โดย 2 แสนล้านบาทแรกต้องนำมาใช้เพื่อชดเชยรายได้ของรัฐบาลที่ต่ำกว่าเป้าหมายจากปัญหาเศรษฐกิจ โดยในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนเข้าสู่การประชุมสภากระทรวงการคลังจะเร่งรัดให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเตรียมตัวให้พร้อมต่อไป ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เตรียมแผนการดำเนินการการกู้เงินทั้งหมดไว้แล้ว โดยจะพยายามดำเนินการกู้ให้แล้วเสร็จภายในปี 52 แม้ว่ากฎหมายจะเปิดช่องไว้ให้กู้ได้ถึงปี 53 ก็ตาม

นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า หลังจากที่ศาลฯ มีมติเอกฉันท์แล้ว จากนี้ไปกระทรวงการคลัง ต้องนำ พ.ร.ก.ดังกล่าวเข้าสู่การประชุมรัฐสภา เพื่อให้รับรองในวันที่ 15-16 มิ.ย.นี้ จากนั้นกระทรวงการคลังจึงจะกู้เงินได้ตามแผนที่วางไว้ ซึ่งตามแผนการกู้เงินดังกล่าว แบ่งเป็นการกู้เงินภายในปีนี้ 2 แสนล้านบาทก่อน หลังจากนั้นจะทยอยกู้เงินเพิ่มเติมในปีถัดไป โดยลอตแรกจะเริ่มด้วยการออกพันธบัตรออมทรัพย์เพื่อไทยเข้มแข็งอายุ 5 ปี วงเงิน 3 หมื่นล้านบาท โดยจะให้สถาบันการเงินเข้ามาเป็นตัวแทนในการจัดจำหน่ายให้ประชาชน และให้ดอกเบี้ยสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากเล็กน้อย เพื่อเป็นทางเลือกในการออมให้ประชาชน และจำกัดวงเงินซื้อขั้นสูงที่คนละ 10 ล้านบาทเพื่อให้รายย่อยสามารถเข้าถึง

คาดสภานัดถก 15-16 มิ.ย.นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่ทรงพระราชดำริว่า มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ สมควรที่จะเรียกประชุมรัฐสภาเป็นการประชุมสมัยวิสามัญ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 128 และมาตรา 187 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. 2552 ตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย. 2552 โดยทรงให้ไว้ ณ วันที่ 29 พ.ค. พ.ศ. 2552 เป็นปีที่ 64 ในรัชกาลปัจจุบัน ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี

นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิป รัฐบาล) กล่าวว่า หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้านบาทไม่ขัดรัฐธรรมนูญด้วยมติ 9 ต่อ 0 เสียง วิปรัฐบาลจะประชุมกันในวันที่ 8 มิ.ย.นี้ เพื่อกำหนดว่าจะนำร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 4 แสนล้านบาท และร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553 ขอความเห็นชอบจากสภาเมื่อไร แต่เบื้องต้นกำหนดว่า ในการขอเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญวันที่ 15-23 มิ.ย. นี้ จะนำ พ.ร.ก.และร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน เข้าสภาวันที่ 15-16 มิ.ย.นี้ จากนั้นถึงจะเป็นร่าง พ.ร.บ.งบ ประมาณ ปี 53 และเชื่อว่าสมาชิกสองสภา จะให้ความเห็นชอบ ทั้งนี้ในช่วงดังกล่าวได้แจ้งให้ ส.ส.ในสัดส่วนรัฐบาลว่าไม่ควรเดินทางไปต่างประเทศ

“คำนูณ” ค้านชนฝาขวางแหลก

นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ส่วนตัวตนไม่เห็นด้วยกับการออก พ.ร.ก. กู้เงิน 4 แสนล้านของรัฐบาล ถึงแม้ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยแล้วว่าสามารถทำได้ แต่ใน ฐานะ ส.ว. จะใช้อำนาจตรวจสอบตามมาตรา 184 โดยยืนยันว่าจะไม่อนุมัติให้ พ.ร.ก.ฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบ เพราะมีประเด็นใหญ่ที่น่าสงสัยว่ารัฐบาลใช้อำนาจโดยไม่ผ่านการตรวจสอบของรัฐสภา ทั้ง ๆ ที่ควรเสนอเข้ามาตามขั้นตอนสภา

นายคำนูณ กล่าวต่อว่า ตนอยากถามว่า เป็นโครงการไทยเข้มแข็งหรือโครงการใครเข้มแข็งกันแน่ และมีนักการเมืองเข้มแข็งจากเงินที่ตกหล่นเข้ากระเป๋าจากการใช้งบประมาณเหล่านี้หรือไม่ สื่อมวลชนได้ตั้งข้อสังเกตว่า มติ ครม.ที่ให้เลื่อนออกไป 1 เดือน เพื่อรอให้สภาผ่านความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ และ พ.ร.ก.กู้เงินฯนั้น ก็คิดว่าช่างบังเอิญหากคนจะคิดว่ามติครม.ดังกล่าวเป็นการยื้อเวลาเพื่อให้ผ่าน พ.ร.ก. และ พ.ร.บ.จึงอยู่ที่กระแสสังคมว่าจะเห็นอย่างไร หรือในพรรคร่วมรัฐบาลกันเองจะตกลงอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ นักการเมืองแฮปปี้กันถ้วนหน้าคือสามารถกู้เงินได้แล้ว 8 แสนล้านบาท

พท.วางแผนติดตามถลุงเงินกู้

ที่พรรคเพื่อไทย นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะทำงานฝ่ายกฎหมายของพรรค กล่าวภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์วินิจฉัยการออกพ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้านบาทไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญว่า เมื่อมีคำตัดสินก็ต้องเป็นไปตามความเห็นของศาล ดังนั้นประเด็นรัฐบาลออก พ.ร.ก.ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ก็ต้องจบไป ขั้นตอนต่อไปพรรคเพื่อไทยจะตั้ง ทีมอภิปรายในสภาพร้อมติดตามว่ารัฐบาลจะนำเงินกู้ไปทำอะไรเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่กล่าวอ้าง เพราะจากงบกลางปีก็เห็นแล้วว่าเงินที่นำไปใช้ไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจจริงอย่างเห็นได้ชัด

นายพีรพันธุ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม มีความเป็นห่วงว่าจะเป็นบรรทัดฐานในอนาคต เพราะคำวินิจฉัยมีผลผูกพันทุกองค์กร ต่อไปเมื่อรัฐบาลใด ๆ ก็อาจอ้างความจำเป็นต้องออก พ.ร.ก. กู้เงิน แล้วทำโครงการนอกงบประมาณ

มติ ครม.ตีกลับเช่ารถเมล์

ที่ทำเนียบรัฐบาล เวลา 14.30 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า โครงการเช่า รถเมล์ 4 พันคัน หลังมีการปรับตัวเลขลงไป 5 พันล้านบาท ทำให้มูลค่าโครงการลดลงจากเดิม 69,000 ล้านบาท เหลือ 64,000 ล้านบาท โดยนายโสภณชี้แจงว่าจะให้ลดลงมากกว่านี้ยากเพราะได้พยายามดูทุกอย่างอย่างละเอียดเทียบเคียงกับค่าใช้จ่ายที่มีอยู่ในปัจจุบันกับผลการศึกษาของหน่วยงานต่าง ๆ เมื่อตัวเลขมาอยู่ที่ 64,000 ล้านบาท ก็มีคนสงสัยว่าถ้าเป็นการซื้อจะถูกกว่าหรือไม่ ซึ่งตอนนี้คงตอบยาก เพราะสมมุติฐานที่มีการนำมาเทียบเคียงกันนั้นมีข้อโต้แย้ง เช่น ถ้าซื้อ เฉพาะราคาค่ารถอาจอยู่ที่ 20,000 ล้านบาท แต่จะมีการถกเถียงว่าถ้าใช้การซ่อมอย่างในปัจจุบัน จะทำให้ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเป็นเท่าไหร่

นายกฯ ยังระบุ นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่เกี่ยวกับการกู้ยืมเงินหรือการหาแหล่งเงินมาซื้อ ดังนั้นที่ประชุมเห็นว่าเพื่อให้สังคมมั่นใจว่าสิ่งที่เราจะทำนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด จึงขอให้คณะกรรมการของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ใช้เวลา 1 เดือน สรุปว่าระหว่างการซื้อกับการเช่าอะไรคุ้มค่ามากกว่ากัน ทั้งนี้ข้อสรุปนี้ถือเป็นข้อสิ้นสุด รัฐบาลมีนโยบายว่า ขสมก.จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนบริการครั้งใหญ่ ซึ่งต้องมีรถใหม่มาวิ่ง เป็นรถที่ใช้เชื้อเพลิงสะอาด ใช้ระบบตั๋วที่ทันสมัย ลดการรั่วไหลได้ นอกจากนี้ เส้นทางวิ่งรถต้องสอดคล้องกับระบบขนส่งมวลชนของกรุง เทพฯ ส่วนการจะได้รถมาวิ่งด้วยการเช่า หรือซื้อ ต้องรอข้อสรุปที่จะออกมาในอีก 1 เดือน ทั้งนี้ รมว.คมนาคมไม่ได้ติดใจ

ครม.สับละเอียด รมต.ภท.

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งว่า ในการประชุม ครม.ระหว่างการพิจารณาโครงการเช่ารถเมล์ 4 พันคัน ที่ประชุมใช้เวลาในการหารือเรื่องนี้นานร่วม 1 ชั่วโมง โดยนายอภิสิทธิ์ เปิดโอกาสให้ รมต.ทุกคนแสดงความคิดเห็น ทำให้มี รมต.ร่วมแสดงความเห็นกันเกือบทั้ง ครม. ทำให้ รมต.บางคนเปรยว่าราวกับเวทีอภิปรายในสภา ไม่เว้นแม้แต่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ที่ยังแสดงความเห็นในเรื่องดังกล่าว โดยระบุว่า การที่เราคำนึงถึงกระแสสังคมถือเป็นเรื่องดี แต่ก็ไม่อยากให้ห่วงกระแสจนลืมข้อเท็จจริง ถ้ามั่นใจว่าโครงการนี้โปร่งใสและประเทศได้ประโยชน์จริงก็ควรต้องเดินหน้าต่อไป

อย่างไรก็ตามในการแสดงความเห็นนั้น บางคนก็เสนอให้เช่า บางคนก็เสนอให้ซื้อ บางคนก็เสนอให้เช่าและซื้ออย่างละครึ่ง แต่ก็ไม่มีข้อสรุป ขณะที่ รมต.ที่มาจากพรรคภูมิใจไทยนั้น ต่างก็แสดงความเห็นด้วยท่าทีที่อ่อนลง โดยนายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม เจ้าของเรื่อง ได้กล่าวว่าตนยอมรับได้ถ้าจะมีการเปลี่ยนรูปแบบของโครงการ ไม่ว่าจะเป็นไปในแบบใด แต่ยอมรับไม่ได้ถ้ามีคำครหาในเรื่องความไม่โปร่งใส ในช่วงท้ายนายชุมพล ศิลปอาชา รมว.การท่องเที่ยวฯ เสนอว่า ให้โอน ขสมก. ให้ กทม.ดูแลไปเลย แต่ก็มีเสียงท้วงติงเรื่องหนี้สินของ ขสมก.จะเอาอย่างไร รวมถึงนายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย ที่เปรย ว่า เคยอภิปรายเรื่องนี้เมื่อเป็นฝ่ายค้าน แต่มาวันนี้เข้าใจสถานะดีแล้วว่าเป็นอย่างไร

สภาพัฒน์ชำแหละ1เดือน

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ให้สัมภาษณ์กรณี ครม.ให้เวลากระทรวงคมนาคม 1 เดือน เพื่อกลับไปศึกษาวิธีการจัดเช่ารถเมล์ 4,000 คันว่า กระทรวงคมนาคมได้แจ้งให้ที่ประชุม ครม.ทราบว่า ถ้าจะต้องใช้วิธีการเช่าจะใช้เงิน ประมาณ 6.4 หมื่นล้าน เป็นเวลา 10 ปี เรื่องนี้ครม.ได้แสดงความคิดกันหลากหลายในที่สุดเห็นว่ายังมีโจทย์อยู่ข้อหนึ่งที่สังคมตั้งข้อสงสัยว่าระหว่างเช่ากับซื้ออันไหนจะคุ้มกว่ากันหรือจะถูกแพงกว่ากัน ดังนั้นนายกฯจึงได้ให้คณะกรรมการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปศึกษาตัวเลขเรื่องของการจัดซื้อ ถ้าซื้อคุ้มหรือไม่และมาเปรียบเทียบ

นายสุเทพ กล่าวอีกว่า ได้มีการซักถาม ทางคณะกรรมการสภาพัฒน์ว่าใช้เวลาเท่าไหร่ ทางสภาพัฒน์แจ้งว่าต้องใช้เวลา 30 วัน หรือ 1 เดือนก็จะเอาตัวเลขมาเสนอ ฉะนั้นเรื่องของ กระทรวงคมนาคมยังถือว่าอยู่ในการพิจารณาอยู่ไม่ใช่เรื่องของการซื้อเวลาอะไรทั้งสิ้น ต่อข้อถาม ถึงท่าทีของ รมว.คมนาคม และรัฐมนตรีในพรรคภูมิใจไทย นายสุเทพ กล่าวว่า ทุกคนเข้าใจ เหมือนที่ตนพูด รมว.คมนาคมยังพูดในที่ประชุม ครม.ว่าวันนี้ถ้าเอาตามเรื่องที่กระทรวงคมนาคมเสนอมา ครม.เห็นด้วยก็มีปัญหา ไม่เห็นด้วยก็มีปัญหาเพราะยังมีข้อสงสัย ฉะนั้น รมว.คมนาคมเห็นด้วยที่จะนำตัวเลขที่ชัดเจนมาเปรียบเทียบกันเพื่อให้ ครม.มีเหตุผลในการตัดสินใจที่สมบูรณ์

โสภณ”ชี้คนกรุงทรมานต่อไป

นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม กล่าวถึงผลการประชุม ครม.เพื่อพิจารณาวาระโครงการเช่ารถเมล์ 4 พันคันว่า ที่ประชุมครม.ได้อนุมัติเรื่องรถเมล์เอ็นจีวีเพียงแค่ครึ่งเดียว โดยมอบให้คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ (สศช.) ไปพิจารณาว่าระหว่างการเช่าและการซื้อ จะมีวิธีใดที่เป็นประโยชน์กับทางราชการมากที่สุด โดยกำหนดให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน เพื่อนำมาเสนอให้ครม.พิจารณาอีกครั้ง อย่างไรก็ตามยอมรับว่าเสียความรู้สึกกับการตัดสิน ครั้งนี้ เพราะถือว่าที่ผ่านมาทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้วและถือว่าวันนี้หมดหน้าที่ของตนที่พยายามดำเนินการเพื่อไม่ให้ ขสมก. ขาดทุน หาก ครม. ยิ่งตัดสินใจช้า ยิ่งทำให้ ขสมก.ขาดทุน เพราะปัจจุบันขาดทุนอยู่แล้ววันละ 16 ล้านบาท

นายโสภณ กล่าวต่อว่า ในเมื่อ ครม. ต้องการให้คนกรุงใช้การบริการที่เป็นอยู่ใน ปัจจุบัน ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามนั้น ยืนยันว่านายกฯไม่ได้เป็นผู้เสนอแต่เพียงผู้เดียวแต่เป็นการตัดสินใจของทั้ง ครม. ซึ่งกระทรวงคมนาคมยังขอยืนยันว่าแนวทางของกระทรวงคือการเช่าเท่านั้น เพราะถือว่าเป็นแนวทางที่ดีที่สุด หากใช้วิธีการซื้อขาดแม้จะใช้เงินเพียง 20,000 ล้านบาทเศษ แต่ยังมีเรื่องของค่าซ่อม ค่าที่ดินค่าดอกเบี้ย ค่าบำรุงรักษา และค่าอื่น ๆ อีก

ยอมรับไม่เตรียมเทียบเช่า-ซื้อ

“ค่ารถที่ตกคันละ 5 ล้านบาท นั้นขอ ชี้แจงว่าราคารถมีตั้งแต่ 3-8 ล้านบาท ซึ่งข้อเสนอของกระทรวงคมนาคมถือว่าต่ำที่สุดแล้ว หากใช้วิธีซื้อแม้จะมีราคาค่ารถประมาณ 20,000 ล้านบาท แต่ยังต้องมีค่าระบบตั๋วที่ต้องใช้กระเป๋าเก็บเงินมีค่าใช้จ่ายอีกวันละ 1,000 บาทต่อคนต่อคัน ขณะที่ใช้ระบบตั๋วอิเล็กทรอนิกส์มีค่าใช้จ่ายเพียง 190 บาท ยังมีเรื่องค่าเช่าบำรุงรักษา ค่าดอกเบี้ยและ ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีก” รมว.คมนาคม ระบุ

นายโสภณ กล่าวด้วยว่า การที่ครม.ยังไม่เห็นชอบในครั้งนี้ จะไม่นำไปสู่ปัญหาทางการเมืองแน่นอน แต่เป็นปัญหาของคนกรุงที่ต้องใช้บริการของ ขสมก. ซึ่งกระทรวงคมนาคมและพรรคภูมิใจไทย คอยได้ทุกเรื่อง ถ้าเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน หากคณะกรรมการสศช.ยังเห็นว่าต้องเป็นวิธีการซื้อก็ต้องหาเงินมาให้ ซึ่งเท่ากับว่าต้องไปกู้มาซื้ออีก ซึ่งตนเองต้องการให้เอกชนเข้ามาลงทุนเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเท่านั้น ทั้งนี้ ตนจำนนด้วยเหตุผลที่ไม่ได้ทำข้อเปรียบเทียบระหว่างการซื้อและการเช่ามาให้ ครม. พิจารณา และยอมไม่ได้ที่จะมีการกล่าวหาว่าโครงการนี้มีการคอร์รัปชั่นเกิดขึ้น

สวดเสียงค้านบอกวิธีแก้ด้วย

นายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ รมช. คมนาคม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมครม.ว่า ในเมื่อนายกฯตัดสินใจอย่างนั้นเราก็รับได้ เพื่อคณะกรรมการสภาฯไปศึกษาให้ครบถ้วนและโปร่งใสที่สุด ทั้งเรื่องดอกเบี้ย เส้นทางการเดินรถ เมื่อคณะกรรมการสภาพัฒน์ตัดสินอย่างไร แล้วเราก็รับได้ คงไม่น่าเป็นเรื่องการพับโครงการ หากจะพับหรือเลิกโครงการนี้ก็จะถามว่ารัฐบาลจะอุ้ม ขสมก.ได้หรือไม่

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในการพิจารณาเรื่องนี้คำนึงถึงความเคลื่อนไหวของ ส.ว.และฝ่ายค้านด้วยหรือไม่ นายประจักษ์ กล่าวว่า ส่วนหนึ่งเราต้องรับเสียงของ ส.ว.และผู้ที่แสดงความคิดเห็นต่าง ๆ ขณะนี้คนที่บอกว่าเรื่องนี้ไม่ดีแต่ไม่ยอมบอกว่าแล้วจะให้แก้ไขอย่างไรให้ดี มีแต่ฟันธงว่ามันไม่ดี ไม่โปร่งใส

“ชวรัตน์”รับได้ทบทวนรถเมล์

ที่กระทรวงมหาดไทย นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ผลการประชุม ครม.เรื่องโครงการเช่ารถเมล์ 4,000 คัน ที่ ครม.มีมติให้กลับไปศึกษาอีกครั้ง เป็นสิ่งที่พรรครับได้เป็นการถอยคนละก้าว โดยมีการกำหนดเวลาจะต้องเสร็จภายในเดือนนี้ ซึ่งไม่ใช่การเสียหน้าและไม่ใช่เรื่องเสียเวลาและเพราะเป็นโครงการที่ใช้เงินจำนวนมากต้องมีการพิจารณาอย่างละเอียด คาดว่าจะใช้เวลา 1 เดือน ซึ่งเชื่อว่าการพิจารณาในครั้งต่อไปจะไม่มีปัญหาและน่าจะจบแล้ว เมื่อถามย้ำว่าการถูกตีกลับครั้งนี้ไม่เสียหน้าใช่หรือไม่ นายชวรัตน์ กล่าวพร้อมหัวเราะว่า “แหม มีหน้าอยู่แค่นี้ จะไปเสียหน้าอะไร มีแต่ได้หน้า”

นายชุมพล ศิลปอาชา รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ให้สัมภาษณ์ว่า ความจริงโครงการ เช่ารถเมล์ 4 พันคันของกระทรวงคมนาคม สังคม ไม่ควรสงสัยถึงขนาดนั้นเพราะเรื่องนี้ทำกันตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้ว เมื่อถามว่า 40 ส.ว. ออกมาขู่ว่าอาจจะมีการคว่ำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2553 นายชุมพล กล่าวว่า ตนรู้สึกว่า ส.ว.ตอนนี้ ทำเกินบทบาทหน้าที่ไปแล้ว ทำตัวไล่ล่ารัฐบาลทุกรัฐบาลโดยเฉพาะ 40 ส.ว.สรรหา ไล่ล่าทุก รัฐบาล ฝ่ายค้านในสภามีอยู่แล้ว ควรปล่อยให้เขา ทำงาน อย่าไปแย่งหน้าที่ฝ่ายค้าน ทำเอาเฉพาะพอสมควร

ชักสนุก ภท.งัดรถดับเพลิงขู่

แหล่งข่าวระดับสูงที่ใกล้ชิดกับหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยถึงกรณี ครม.ตีกลับโครงการรถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน โดยส่งให้สภาพัฒน์ศึกษาเป็นเวลา 30 วันว่า รู้ว่าก่อน ครม. จะตีกลับเพื่อลดกระแสสังคม แต่มั่นใจว่าหลังจากศึกษา 30 วัน ครม.จะเห็นตามพรรคภูมิใจไทย 100% เพราะพรรคประชาธิปัตย์มีปัญหาในกรณี ซื้อรถดับเพลิงกทม.มูลค่า 6,687 ล้านบาท ซึ่งแพงกว่ารถเมล์เอ็นจีวี และที่สำคัญซื้อมาแล้วยังไม่ได้ใช้งานด้วย ว่าเปรียบเทียบกับโครงการรถเมล์หากไม่ได้รับความเห็นชอบ

“ผมเชื่อว่ากระแสสังคมจับตาดูพรรคภูมิใจไทยว่าจะทำอย่างไรเมื่อโครงการถูกตีกลับหลายครั้ง โดยเฉพาะการถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งผู้ใหญ่ในพรรคหลายคนไม่มีความจำเป็นต้องถอนตัว เพราะหากถอนตัวจะถูกมองว่าเกเร และถ้าไม่ถอนตัวจะถูกมองว่าอยากเป็นรัฐบาล ดังนั้นเวลา 30 วัน ที่สภาพัฒน์ศึกษาไม่ว่าผลจะออกมาว่าให้เช่าหรือให้ซื้อก็เชื่อว่า ครม.จะต้อง อนุมัติตาม ถ้ายังตีกลับอีกครั้งอาจมีความเป็นไป ได้ที่ผู้ใหญ่ของพรรคอาจจะทบทวนท่าทีในการร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์” ผู้ใกล้ชิดหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยระบุ

ปชป.กระเพื่อมแรงต้านภายใน

นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ส.ส.นคร นายก และนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส. สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมกันแถลงข่าว คัดค้านโครงการเช่ารถเอ็นจีวี 4 พันคัน โดยนายสมเกียรติ กล่าวว่า เราจะไม่ยอมให้ประเทศชาติถูกปล้นโดยผ่านโครงการที่เรียกว่า เช่ารถมาซ่อม เป็นการผลาญเงินภาษีของประชาชน

เราจะทำทุกวิถีทาง โดยจะร่วมมือกับส.ว.และภาคประชาชนเพื่อไม่ให้ปล้นชาติอย่าง เอิกเกริก ฉะนั้น ครม.ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ส่วนนายชาญชัย กล่าวว่า สมัยที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านได้หยิบยกเรื่องนี้มาอภิปรายไม่ ไว้วางใจ ซึ่งข้อมูลก็เป็นที่รู้ในสาธารณะว่าพรรค ประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยและคัดค้านมาโดยตลอด ดังนั้นรัฐบาลจะต้องทบทวนและปรับปรุงแก้ไขเพราะการเช่ารถมาซ่อมตั้งแต่วันแรกก็ผิดหลัก การแล้ว

40ส.ว.ตีกินขอให้ขยาย3เดือน

ที่รัฐสภา กลุ่ม 40 ส.ว. นำโดย นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา นางสาวรสนา โตสิตระกูล ส.ว.กรุงเทพฯ ร่วมกันแถลงข่าวภายหลังครม.มีมติให้สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติศึกษาโครงการเช่าวรถเมล์เอ็นจีวี 1 เดือน โดยนางสาวรสนา กล่าวว่า กลุ่ม 40 ส.ว. มีมติใน 3 ประเด็นคือ 1.เพิ่มระยะเวลาในการศึกษาเป็น 3 เดือน เพื่อศึกษาอย่างรอบคอบ รวมถึงการทำประชาพิจารณ์ 2.ควรให้องค์กรอื่น เช่น นิด้า และทีดีอาร์ไอ ศึกษาคู่ขนานไปด้วย และ 3.ให้คณะกรรมาธิการวุฒิสภา 5 คณะ เข้าตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล ร่วมกันตั้งอนุกรรมาธิการขึ้นมาศึกษาและตรวจสอบเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป

“ขอตั้งข้อสังเกตว่าโครงการใดที่รัฐบาล เป็นผู้ลงทุนมักจะมีปัญหาเรื่องการขาดทุน ขณะที่โครงการที่เอกชนเป็นผู้ดำเนินการจะไม่มีปัญหานี้ เช่น โครงการรถเมล์ขาวของนายเลิศ ได้กำไรจนสามารถสร้างโรงแรมใหญ่แห่งหนึ่งได้” น.ส. รสนา กล่าว เมื่อถามว่ามองว่าการใช้เวลา 1 เดือนเป็นการถ่วงเวลาเพื่อให้ พ.ร.ก.เงินกู้ 4 แสนล้านบาท และร่าง พ.ร.บงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553 ผ่านสภาไป น.ส.รสนา กล่าวว่า แม้จะผ่านสภาไปแล้วทางกลุ่ม 40 ส.ว.ก็จะไม่ ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่าน

ม็อบพขร.-กระเป๋า-กระปี๋บุก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการประชุม ครม. ได้มีกลุ่มผู้ประกอบการรถร่วมบริการ ขสมก. พร้อมด้วยพนักงานขับรถและพนักงานเก็บค่าโดยสาร กว่า 100 คน นำโดยนายไพฑูรย์ พุ่มเพ็ง แกนนำกลุ่ม เดินทางมาชุมนุมคัดค้านโครงการเช่ารถเมล์ 4,000 คัน ที่นำเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.โดยกลุ่มผู้ชุมนุมได้ปักหลักสลับสับเปลี่ยนกันปราศรัยประท้วงที่บริเวณริมคลองผดุงกรุงเกษม ฝั่งวัดโสมนัสราชวรวิหาร ซึ่งเป็นจุดใกล้กับอาคารสำนักเลขาธิการ ครม. ที่ใช้เป็นที่ประชุม ครม.มากที่สุด

ตั้ง“สถิตย์”ปลัดคลัง-โยกขรก.

วันเดียวกัน นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ เปิดเผยว่า ครม.มีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ได้แก่ นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ รองปลัดกระทรวงฯ ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงฯ นายมนัส แจ่มเวหา รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง กรมบัญชีกลาง นาย ช.นันท์ เพ็ชญไพศิษฏ์ เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน 9 กรมสรรพากร เป็นที่ปรึกษาด้านประสิทธิภาพ กรมสรรพากร ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นต้นไป

นอกจากนี้ ครม.ยังอนุมัติแต่งตั้งนายจิรเดช อานุภาวธรรม ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และแต่งตั้งข้าราชการในสังกัดกระทรวงพลังงาน ประกอบด้วย 1.นายพานิช พงศ์พิโรดม อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ไปเป็นผู้ตรวจฯ สำนักงานปลัด 2.นายพีระพล สาครินทร์ ผู้ตรวจฯ สำนักกงานปลัดฯ ไปเป็น อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน 3.นายไกรฤทธิ์ นิลคูหา รองปลัดกระทรวงฯ ไปเป็นอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุมัติพลังงาน 4.นายเมตตา บันเทิงสุข อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ไปเป็น รองปลัดกระทรวงฯ

ใช้บริการ“เกียรติ”ทำงาน ศก.

ครม.ยังอนุมัติแต่งตั้งนายเกียรติ สิทธีอมร ประธานผู้แทนการค้าไทย เป็นกรรมการ ในคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ตามที่สำนักงานคณะกรรม การการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ นอกจากนี้ยังอนุมัติแต่งตั้ง นายสายเมือง วิรยศิริ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนา (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรม การพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) เป็นรองเลขาธิการ กปร.

ชงจ้างต่างชาตินั่งบอร์ดรสก.

นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ เปิดเผยว่า ในที่ประชุม ครม. นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบปัญหาการขาดแคลนผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่พบว่าในปัจจุบันมีมากถึง 16-17 แห่ง ที่ไม่มีผู้บริหาร ระหว่างนั้นนายชวรัตน์ได้เสนอให้ที่ประชุมพิจารณาว่าควรเปิดโอกาสให้ผู้บริหารจากต่างชาติเข้ามาบริหารงานในรัฐวิสาหกิจได้ เพื่อแก้ไขปัญหา ขณะที่นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวแสดงความเห็นด้วย เพราะผู้บริหารคนไทยกลัวที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย คือการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สิน จึงทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนผู้บริหารขึ้น

นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ครม.ยังเห็นชอบเรื่องการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการเพื่อฟื้นฟูฐานะของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่ให้จัดตั้งบริษัทลูก 2 บริษัท คือบริษัทเดินรถและบริษัทบริหารทรัพย์สิน แยกออกจาก รฟท. โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน และให้ดำเนินการได้ภายใน 180 วัน โดยเฉพาะการบริหารจัดการโครงการแอร์พอร์ตลิงค์ ที่ ครม.อนุมัติเงินวงเงิน 140 ล้านบาท

เพิร์คชี้ระบบราชการไทยดีที่ 3

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานจากประเทศสิงคโปร์ว่า บริษัทที่ปรึกษาความเสี่ยงด้านการเมืองและเศรษฐกิจหรือ “เพิร์ค” ซึ่งมีสำนักงาน อยู่ที่ฮ่องกง ได้เผยแพร่รายงาน 12 หน้าเกี่ยวกับระบบราชการของประเทศสิงคโปร์โดยระบุว่า จากการสอบถามนักธุรกิจต่างชาติ 1,274 คน ซึ่งทำงานอยู่ในประเทศในแถบเอเชียเหนือและใต้รวม 12 ประเทศด้วย พบว่า สิงคโปร์ยังคงติดอันดับ 1 เป็นปีที่ 3 ของการสำรวจประเทศ ที่มีระบบราชการดีที่สุดในภูมิภาคเอเชีย ส่วน ประเทศอันดับสุดท้ายของการสำรวจได้แก่อินเดีย เพราะกระบวนการในระบบราชการดำเนินไปอย่างล่าช้าและยุ่งยาก

ในส่วนของประเทศไทย ติดอันดับที่ 3 แม้ช่วง 4 ปีที่ผ่านมาต้องเผชิญกับการประท้วง และรัฐบาลที่ไม่สามารถบริหารราชการได้เลยในช่วงเวลา 1 ปี แม้จะมีปัญหา แต่ข้าราชการของไทยก็ยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการ ทุจริตคอร์รัปชั่น ก็ได้สร้างความลำบากให้กับประชาชนชาวไทยและต่างชาติ สำหรับการจัดอันดับมีดังนี้ 1.สิงคโปร์ 2.ฮ่องกง 3.ไทย 4.เกาหลีใต้ 5.ญี่ปุ่น 6.มาเลเซีย 7.ไต้หวัน 8.เวียดนาม 9.จีน 10.ฟิลิปปินส์ 11.อินโดนีเซีย และ 12.อินเดีย

นายกฯเห่อเสื้อสูทคูลโหมด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบรรยากาศ ก่อนการประชุม ครม.เป็นไปอย่างคึกคัก เมื่อนายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมนายสมศักดิ์ ตรีเดช ปลัดกระทรวงฯ และนางอรพินท์ วงศ์ชุมพิศ อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ได้นำขบวนศิลปินดารา อาทิ สมาชิกวงโปงลางสะออน “น้องเกรซ-กาญจน์เกล้า ด้วยเศียรเกล้า” ร่วมมอบของที่ระลึกเนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก วันที่ 5 มิ.ย.นี้ ให้กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย เสื้อสูท “คูลโหมด (CoolMode)” ชุดกล่องบรรจุอาหาร และถุงผ้าลดโลกร้อน

ทั้งนี้ เสื้อดังกล่าวเป็นผลงานจากโครงการส่งเสริมการพัฒนาเสื้อผ้าลดโลกร้อน ซึ่งจัดทำขึ้นโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือน กระจก (องค์การมหาชน) ร่วมกับสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอและกลุ่มผู้ผลิตสิ่งทอ ที่มีการผลิตเส้นใยหรือการใช้เทคโนโลยีการตกแต่งสำเร็จด้วยสารชีวภาพเพื่อลดอุณหภูมิผิวหนัง โดยเมื่อสวมใส่แล้วจะไม่ร้อนอบอ้าว และสามารถ ลดอุณหภูมิจากปกติได้ 1-2 องศาเซลเซียส โดยนายกฯทดลองสวมเสื้อดังกล่าวทันทีที่ได้รับมอบจากนายสุวิทย์

คลี่ปมม็อบบุกประชุมพัทยา

ที่รัฐสภา ช่วงสายวันเดียวกัน มีการประชุมคณะอนุกรรมการ ตรวจสอบเหตุการณ์ที่เมืองพัทยา และภูมิภาค มีนายอโนทัย ฤทธิปัญญาวงศ์ ส.ว.สรรหา เป็นประธาน ได้เชิญผบ.ตร. ปลัดกระทรวงมหาดไทย แม่ทัพภาคที่ 1 ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ตัวแทนจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มาชี้แจงกรณีเหตุการณ์ชุมนุมในการประชุมผู้นำอาเซียนกับ คู่เจรจา ที่พัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี พล.ต.ต. ปราโมช ปทุมวงศ์ รอง ผบช.ภ.2 รักษาการ ผบก.ภ.จว.ชลบุรี ซึ่งได้รับมอบหมายจาก ผบ.ตร. มาชี้แจงเปิดเผยว่า วันที่ 11 เม.ย.กลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนมากได้พยายามเข้ามาในที่ประชุม มีการปลุกระดม อ้างว่าเจ้าหน้าที่ยิงผู้ชุมนุมจนมี ผู้เสียชีวิตทำให้เหตุการณ์บานปลายจนต้องประสานหน่วยงานด้านความมั่งคงพาผู้นำประเทศ ออกจากพื้นที่ ยืนยันว่าทำดีที่สุด แต่สาเหตุและปัจจัยอยู่นอกเหนือจากการควบคุม

“ส่วนการชุมนุมของคนเสื้อน้ำเงินนั้น ยืนยันว่าผมไม่เห็นเพราะอยู่ไกลจากที่เกิดเหตุ ข้อสงสัยเกี่ยวกับคนเสื้อน้ำเงินอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง ของคณะจเรตำรวจที่มีพล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รอง ผบ.ตร. เป็นประธาน”

พท.ยันมีหลักฐานเสื้อน้ำเงิน

ด้านอนุกรรมการได้พยายามสอบถามถึงกลุ่มคนเสื้อน้ำเงินว่า จากการสอบสวนมีตำรวจหรือข้าราชการให้การสนับสนุนตามที่กลุ่มคนเสื้อแดงกล่าวอ้างหรือไม่ โดยนายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์ ส.ส.ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย ระบุว่า มีรายงานทางลับว่ามีคำสั่งให้ตำรวจจาก จ.สุรินทร์ ชัยภูมิ และศรีสะเกษ แต่งกายนอกเครื่องแบบ โดยแจกเสื้อสีน้ำเงิน 2 ตัว หมวก 1 ใบ ให้เข้า มาปฏิบัติหน้าที่นอกรูปแบบ ซึ่งมีตำรวจ 70 นายขัดคำสั่งไม่ยอมปฏิบัติตาม เพราะคำนึงถึงศักดิ์ศรีที่พร้อมจะมาให้ข้อมูล

นอกจากนี้ พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา อนุกรรมการฯ จากพรรคเพื่อไทย ได้ซักถาม พล.ต.ต.ปราโมช ว่า การที่ท่านบอกว่า ไม่เห็นคนเสื้อน้ำเงิน ไปร่วมชุมนุมเป็นไปได้อย่างไร เพราะตนได้เดินทางไปสังเกตการณ์ที่โรงแรม โดยเห็นคนเสื้อน้ำเงินกว่า 100 คนยืนอยู่กับตำรวจร่วมสกัดกั้นผู้ชุมนุมเสื้อแดง

แกนนำเสื้อแดงเดินสายน่าน

ขณะเดียวกันความเคลื่อนไหวกลุ่ม นปช. ผู้สื่อข่าว จ.น่าน รายงานว่า บรรดาแกนนำ นปช. อาทิ นายสุรชัย แซ่ด่าน เดินสายเข้ามายังพื้นที่ จ.น่าน พบปะแนวร่วมและกลุ่มมวลชนคนเสื้อแดง เพื่อหารือและแนวร่วมในการรวมพลชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย ในวันที่ 27 มิ.ย.ที่จะถึงนี้ ที่ท้องสนามหลวง นายสุรชัย กล่าวว่า ในการชุมนุมครั้งใหม่นี้จะเป็นการต่อสู้ชุมนุมอย่างสงบและยกระดับขึ้นกว่าทุกครั้ง แต่ยืนยันว่ากลุ่มเสื้อแดงจะยังเกาะกลุ่ม รวมตัวกันอย่างเหนียวแน่นเพื่ออุดมการณ์แม้จะใช้เวลายาวนานก็ตาม

ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำ นปช. และคนเสื้อแดง กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มนปช.ยังเดินหน้าต่อสู้ นัดชุมนุมใหญ่ที่สนามหลวงวันที่ 27 มิ.ย.นี้ เราจะเปิดประเด็นการทุจริตและนำข้อมูลหลักฐาน เช่น การประมูลราคาข้าว และโครงการเช่ารถเมล์ 4,000 คัน รวมทั้งหลักฐานในการสลายการชุมนุมช่วงวันสงกรานต์ ซึ่งถือว่าภารกิจของคนเสื้อแดงยังไม่จบ.

No comments:

Post a Comment